"
วิตามิน A เป็นสารบำรุงตัวเด่นที่ช่วยฟื้นฟูปัญหาผิวมีริ้วรอย ลดการเกิดสิว กระชับผิวและรูขุมขน ในแวดวงสกินแคร์นิยมนำเอาอนุพันธ์วิตามิน A ที่อยู่ในรูปของเรตินอล (Retinol) มาใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในสกินแคร์ที่เน้นการผลัดเซลล์ผิว แก้ปัญหาริ้วรอยแห่งวัย แต่เนื่องจากการใช้วิตามินเอดูแลผิวมีข้อควรระวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนรักผิวต้องใส่ใจ โดยเฉพาะเรื่อง “การระคายเคืองผิว” ซึ่งความจริงนั้นไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด ยิ่งสกินแคร์วิตามินเอบางตัวมีนวัตกรรมดี ๆ อย่างเทคโนโลยี “Encapsulation” มาช่วยเสริมประสิทธิภาพการบำรุงผิวอย่างอ่อนโยน และลดการระคายเคืองเอาไว้ให้แล้วยิ่งใช้ง่ายกว่าเดิม หนึ่งในนั้นคือ Serum Brightening Vit A+ ตัวดังจากแบรนด์ JUV Superfriut
วันนี้ All About You ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักประโยชน์ดี ๆ ของวิตามินเอ ใครที่อยากทดลองใช้วิตามินเอมานานแล้ว แต่ยังไม่กล้าเพราะกลัวแพ้ เชื่อว่าอ่านบทความนี้จบแล้วจะต้องเปิดใจให้ Vitamin A หรือเรตินอลมากขึ้นแน่นอน แล้วมาดูกันว่า JUV Vit A+ จะเป็นเซรั่มวิตามิน A ที่เหมาะกับสภาพผิวของเราหรือไม่
JUV I Serum Brightening Vit A+ ขนาด 30 ml.
กู้ผิวด้วยวิตามิน A
วิตามินเอ หรือบ้างก็เรียกกันว่า “เรตินอล” ได้รับการอนุญาตให้ใช้เป็นสารสกัดสำคัญในการรักษาสิวมานาน เพราะมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ป้องกันรูขุมขนอุดตัน และช่วยลดการเกิดสิวได้ด้วย รวมทั้งยังเป็นตัวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำจากการถูกแสง UV ทำร้าย ปรับโทนสีผิวให้สม่ำเสมอและแลดูกระจ่างใสขึ้น วิตามิน A จึงเป็นสารบำรุงตัวสำคัญที่เน้นฟื้นฟูปัญหาริ้วรอย ผิวมันเป็นสิว และผิวแห้งกร้านที่มักนำไปสู่ปัญหาริ้วรอยตามมาได้ง่าย แม้ว่าเรตินอลส่วนใหญ่จะถูกนำไปเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ผลิตภัณฑ์สำหรับผิววัย Aging แต่จริง ๆ แล้วไม่ว่าผิววัยไหน ก็ใช้เรตินอลบำรุงได้เหมือนกัน เพื่อช่วยรักษาสมดุลผิวและบูสต์การผลิตคอลลาเจน ให้ผิวของเรายังคงความอ่อนเยาว์ อวบอิ่ม สุขภาพดีเหมือนย้อนวัยได้
รวม 3 คุณประโยชน์ต่อต้านปัญหาผิว
เรตินอล : ฉบับเริ่มต้น
ช่วง 2-3 ปีมานี้ “เรตินอล” ถูกยกให้เป็นส่วนผสมหนึ่งที่ได้รับความนิยมในสกินแคร์อย่างมาก เพราะมีคุณสมบัติฟื้นฟูปัญหาผิวได้ค่อนข้างครอบคลุม แต่เพราะความเข้มข้นของปริมาณเรตินอลเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวได้ง่าย แถมยังทำให้ผิวไวต่อแสง และจำเป็นต้องใช้ให้ถูกวิธี เลยทำให้หลายคนยังลังเล ไม่กล้าใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอล หรือสารประเภทเรตินอยด์ (Retinoid) ทุกรูปแบบ แต่เชื่อไหมว่า ปัญหานี้จะหมดไปแน่นอน หากเราเริ่มต้นจากการทำความรู้จักผิวของตัวเองก่อน เข้าใจปัญหาผิวของเราให้มากขึ้น แล้วค่อยเลือกเรตินอลที่เหมาะกับสภาพผิวของเรา ซึ่งส่วนใหญ่เปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นของเรตินอลที่อ่อนโยนต่อผิวจะอยู่ที่ระดับ 0.1-0.3%
เนื้อเซรั่มบางเบา สบายผิว
สำหรับคนผิวแห้ง ผิวบอบบางแพ้ง่าย ผิวเป็นสิว รวมถึงคนที่อยากเริ่มต้นใช้เรตินอลดูแลผิว ควรเลือกเป็นส่วนผสม “เรตินิล พัลมิเทต” (Retinyl Palmitate) ที่ความเข้มข้นต่ำและค่อนข้างอ่อนโยน โดยเริ่มใช้ทีละน้อยในช่วงเวลากลางคืน เพื่อให้ผิวค่อย ๆ ปรับสภาพและแข็งแรงขึ้น หากใครผิวแห้งมาก ๆ หลังลงสกินแคร์กลุ่มเรตินอลแนะนำว่าควรตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ สารสกัดไฮยาลูโรนิค หรือสารสกัดว่านหางจระเข้ (Aloe vera) เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ลดอาการระคายเคืองได้มาก เมื่อผิวของเราเริ่มคุ้นเคยกับเรตินอลมากขึ้น ค่อยเพิ่มปริมาณความเข้มข้นให้สูงขึ้นตาม ที่สำคัญคือ ต้องหลีกเลี่ยงการใช้พร้อมกับสกินแคร์ผลัดเซลล์ผิวอื่น ๆ อย่างพวก AHA, BHA และวิตามินซี ฯลฯ แต่ควรจัดรูทีนแบบใช้สลับวันกัน หรือใช้คนละช่วงเวลาแทน
ส่วนใครที่ต้องการใช้เรตินอลในช่วงกลางวัน ก็ต้องไม่ลืมทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15-50 ขึ้นไปปกป้องผิวจากแดดไว้ด้วย เพราะเรตินอลมีฤทธิ์เร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวของเราบอบบางกว่าปกติ อีกทั้ง เรตินอลยังสลายตัวเมื่อถูกแสงแดด เลยส่งผลให้ผิวไวต่อรังสี UV มากขึ้น เลยก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ง่ายตามไปด้วย ดังนั้น ควรใช้ในปริมาณที่น้อยลงกว่าช่วงกลางคืนด้วยจึงจะดีต่อผิว
รวมสารสกัดหลักเข้มข้น
JUV เซรั่ม Vit A+ : เข้มข้น (แต่) ไม่ระคายเคือง
เซรั่มวิตามินเอตัวหนึ่งที่แนะนำให้ลองใช้มาก ๆ คือ JUV Serum Brightening Vit A+ ที่มีเรตินอลเข้มข้นสูงเป็น Active Ingredient สำคัญที่ถูกเก็บรักษาอย่างดีด้วยนวัตกรรม Encapsulation มีลักษณะเหมือนแคปซูลขนาดจิ๋วที่ล็อคประสิทธิภาพของอนุพันธ์วิตามินเอเอาไว้ตั้งแต่ขั้นตอนผลิต เพื่อให้ Vitamin A ค่อย ๆ กระจายตัวบนผิวและซึมลึกลงสู่ชั้นผิวอย่างอ่อนโยน จึงช่วยลดโอกาสเกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ดีกว่าวิตามินเอทั่วไป และเป็นมิตรกับทุกสภาพผิวด้วย นอกจากนี้ ยังมีส่วนผสมของ Bisobolol ที่ช่วยลดการระคายเคือง และบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น เติมเข้ามาเป็นอีกหนึ่งสารสำคัญรองจากเรตินอล ทำให้ JUV Vit A+ เป็นเซรั่มวิตามินเอที่สามารถใช้ทั้งช่วงเช้าและกลางคืนได้อย่างปลอดภัย พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยแก้ปัญหาสิวและริ้วรอยได้ดียิ่งขึ้น
เทคโนโลยีรักษาคุณภาพวิตามินเอ
ลดสิว ผิวไบร์ท ริ้วรอยลดเลือน
Brightening Vit A+ เซรั่มที่ถูกบรรจุมาในขวดหัวปั๊มกดใช้งานง่าย มีเนื้อเจลบางเบา สีขาวขุ่น เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะผิว ถือเป็นเซรั่มตัวเด่นขายดีของแบรนด์ JUV Superfruit ที่รวมเอาคุณประโยชน์ต่อต้าน 3 ปัญหาผิวไว้ในขวดเดียว ได้แก่ เซรั่มลดสิว (Anti-Acne) ควบคุมความมันส่วนเกิน ผลัดเซลล์ผิวตกค้าง ลดโอกาสการเกิดสิว ปรับสภาพผิวให้รูขุมขนกระชับ หลุมสิวและจุดด่างดำจากรอยสิวลดเลือนลง ตามมาด้วยการเป็นเซรั่มผิวใส (Brightening Serum) ช่วยเสริมสมดุลการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และผลัดผิวให้กระจ่างใสขึ้นอย่างอ่อนโยนด้วยสารสกัด AHA จากธรรมชาติ ตบท้ายด้วยการเป็นเซรั่มลดเลือนริ้วรอย (Anti-Aging) ช่วยฟื้นบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และริ้วรอยแลดูจางลง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็น Benefit ต่อผิวที่มาจากคุณค่าของเรตินอลเข้มข้นประสิทธิภาพสูง สูตรเฉพาะของ JUV
รวมคุณสมบัติในการแก้ปัญหาผิว
นอกจากนี้ JUV Vit A+ ยังอุดมไปด้วยสารสกัดจาก Superfruit พืชผลไม้ออแกนิคอีกหลากหลายชนิดมาก ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง สุขภาพดี และผ่านการรับรองแล้วว่าปราศจากสารก่อการระคายเคือง คนที่มีผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่าย สามารถเริ่มต้นใช้เรตินอลจากเซรั่ม JUV Vit A+ ได้เลย โดยเริ่มจากปริมาณน้อย ๆ ประมาณ 2-3 ปั๊มในช่วงกลางคืนก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณให้มากขึ้นตามความแข็งแรงของผิว ในช่วงแรกผิวของบางคนอาจมีการดันสิวหรือยิบผิวเล็กน้อย ถือเป็นอาการปกติช่วงปรับสภาพผิวให้คุ้นเคยกับเรตินอล ให้ใช้ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ผิวก็จะแข็งแรงขึ้นจนอาการดังกล่าวเบาบางลงตามลำดับ อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าเราควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้กับผิวหน้าจึงจะดีที่สุด เพื่อเสริมความมั่นใจและเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวในระยะยาว
ใครกำลังมองหาเซรั่มวิตามินเอเข้มข้นมาช่วยลดสิว เติมผิวกระจ่างใส และแก้ปัญหาผิวมีริ้วรอย JUV Serum Brightening Vit A+ น่าจะเป็นไอเทมตัวหนึ่งที่ไม่ควรพลาด และหากคุณอยากเริ่มต้นใช้เรตินอล แต่ไม่รู้จะเปิดใจให้กับสกินแคร์ตัวไหนดี JUV Vit A+ ตัวนี้ก็น่าจะตอบโจทย์ความต้องการนั้นเช่นกัน…ลองเลยค่ะ
"