""ผิวขาดน้ำ"" ไม่ใช่ผิวแห้ง!!!
เพราะผิวขาดน้ำสามารถเกิดขึ้นได้กับ ""ทุกสภาพผิว"" ต่อให้มีผิวมันเยิ้มแค่ไหน ก็อาจประสบกับปัญหาผิวขาดน้ำได้อยู่ดี จึงทำให้หลายๆคนมักเข้าใจผิด เมื่อรู้สึกผิวแห้งๆ ก็คิดไปว่าตัวเองนั้นเป็นคนผิวแห้ง เมื่อรู้สึกผิวมันเยิ้มก็คิดว่าคงเป็นเพราะผิวเรามัน ทำให้ใช้ผลิตภัณฑ์แบบไหน ชนิดไหน ยี่ห้ออะไร ก็ไม่ได้ผลสักที งั้นเรามาเช็คอาการกันก่อนดีกว่าว่าคุณเข้าข่ายเป็น “ผิวขาดน้ำ” หรือไม่
หากคุณมีอาการเหล่านี้หมายความว่า คุณกำลัง ""ผิวขาดน้ำ!!!!""
- ผิวหน้าหมองคล้ำ ดูไม่สดใส
- ไม่เต่งตึง เริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ
- ผิวแห้งตึงหลังล้างหน้า
- หน้าแห้งแสบคันตลอดเวลา
- หน้าลอกเป็นขุย
- แต่งหน้าไม่ค่อยติด
ปัจจัยที่ทำให้ผิวขาดน้ำ
- อายุที่มากขึ้น ผิวสร้างน้ำได้น้อยลง
- ดื่มน้ำน้อยเกินไป
- โดนแดดเป็นเวลานาน คอลลาเจนถูกทำลาย
- อยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน อากาศแห้งดูดความชุ่มชื้นในผิว
- อาบน้ำอุ่น ทำให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื่น
- หรือกรรมพันธุ์ น้ำในผิวน้อย ทำให้ผิวขาดน้ำง่าย
เคล็ดลับง่ายๆ พิชิตผิวขาดน้ำ
เคล็ดลับที่จะพิชิตปัญหาผิวขาดน้ำ สามารถทำได้ 2 แบบ
แบบที่ 1 คือ การบำรุงจากภายใน
ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นที่ที่มีอากาศแห้ง น้ำในผิวจะระเหยออกมาง่าย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว หรือดื่มตามน้ำหนักตัว X 30
เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม X 30 = น้ำ 1,500 มิลลิลิตร หรือ 1.5 ลิตร/วัน เป็นอย่างน้อย
ซึ่งวิธีนี้เป็นเคล็ดลับที่ห้ามมองข้ามเลย เพราะสำคัญมากๆ ไม่ใช่แค่ทำให้ผิวสุขภาพดี แต่สุขภาพร่างกายโดยรวมจะดีตามไปด้วย
แบบที่ 2 บำรุงผิวจากภายนอก
ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนล้างหน้า หรือบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกสร้างมาสำหรับปรับสมดุลผิว หรือ สำหรับผิวขาดน้ำโดยเฉพาะ ที่มีความอ่อนโยน ปราศจากสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว และที่สำคัญมากๆ คือการทาครีมกันแดด เพราะแสงแดดเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวขาดน้ำ แต่หากใช้ครีมกันแดดที่เนื้อหนาหนัก ก็จะทำให้เกิดปัญหาสิวอุดตันได้เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกครีมกันแดดที่เนื้อบางเบามีส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ และมีค่า SPF สูงๆ หน่อย เป็นต้น
ข้อมูลดีๆ จาก https://1th.me/4Q61
"